เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ 2559

DCIM104GOPRO

เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เราไปองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช) ที่รังสิตคลองห้ากันมา เลยได้รู้ว่าช่วงนี้กำลังมี ‘เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้’ (Science Film Festival) อยู่ครับ

เรามาถึงที่นี่กันแต่เช้าทุกครั้ง (บางครั้งไปถึงก่อนเปิดอีก ^^ ) เพราะเด็กๆ อยากใช้เวลากับที่นี่นานๆ และครั้งนี้ การมาถึงแต่เช้าของเราทำให้วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะเจ้าหน้าที่ใจดีอนุญาตให้เด็กๆ ได้เลือกหนังที่จะดูได้ เนื่องจากว่ารอบแรกของการฉายไม่มีคนอื่นดูด้วยกันเลย

เด็กๆ สนุกกับการอ่านรายละเอียดและคุยตกลงกันจนเกือบถึงเวลาฉาย :D

สุดท้าย เด็กๆ เลือกดู ‘หาคำตอบกับโทบี ตอน ทอง’ (Checker Tobi – Der Gold-Check) ซึ่งเป็นหนังจากประเทศเยอรมัน และ ‘เก้านาทีครึ่ง ตอน สาวใยแมงมุม’ (Neuneinhalb: Spinnereien – Faszination auf acht Beinen) เด็กๆ ชอบมากทั้งสองเรื่อง สนุกและได้ความรู้รอบตัว

เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ที่ประเทศไทยครั้งนี้ อพวช. คัดเรื่องภาพยนตร์มาฉายทั้งหมด 30 เรื่องจาก 13 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ออสเตรีย (1) บรูไน(1) เบลเยียม(1) แคนาดา(4) โครเอเชีย(1) เยอรมนี(12) ฝรั่งเศส(1) ญี่ปุ่น(1) พม่า(1) เนเธอร์แลนด์(1) ประเทศไทย(2) สหราชอาณาจักร(1) สหรัฐอเมริกา(2) และเยอรมนี- ฝรั่งเศส(1)

ภาพยนตร์บางเรื่องอาจจะสามารถหาดูได้จากอินเตอร์เน็ต แต่ก็ฟังไม่ออกอยู่ดีครับ เพราะเป็นภาษาของประเทศผู้จัดทำ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ น้องภูมิติดใจ Checker Tobi มาก และลองกลับมาหาดูแล้ว แต่ฟังไม่ออกครับ :D

ภาพยนตร์ถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มครับ (อ่านเรื่องย่อของภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้ที่นี่)

1. วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
2. บันเทิงศึกษาสำหรับครอบครัว
3. วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ ชีววิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
4. อนิเมชั่นหรือหนังสั้น
5. นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม

หลังจบการฉายหนัง เจ้าหน้าที่จะมีกิจกรรมตอบคำถาม พร้อมแจกของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็กๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้าน แน่นอนที่สุด เด็กๆ ทั้ง 3 คนของเราได้ของรางวัลทั้งหมด เพราะมีกันอยู่แค่ 3 คน ^^

จากแผ่นพับที่ได้รับมา เจ้าหน้าที่บอกว่าเราสามารถดูหนังวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้จากหลายศูนย์ฯ ที่เข้าร่วมกิจกรรม ลองดูนะครับว่ามีที่ไหนใกล้บ้าน เผื่อว่าจะมีโอกาสไปดูกันครับ

1. NSTDA Thailand Science Park (คลองหลวง, ปทุมธานี)
2. National Science Museum (คลองห้า, ปทุมธานี)
3. Thai Film Archive (นครปฐม)
4. NSM Science Square (จามจุรี สแควร์, กรุงเทพฯ)
5. Nanmee Books Learning Center (สุขุมวิท, กรุงเทพฯ)
6. City Learning Park (CLP) นครศรีธรรมราช

ผมอยากเขียนแนะนำเพราะภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่ดูสนุกแบบนี้หาดูไม่ง่ายนักครับ น้องภูมิชอบมาก บอกว่าอยากดูให้ครบทุกเรื่องเลย :D

เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้นี้มีถึง 16 ธันวาคม 2559 นี้ และฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
http://sciencefilm.ipst.ac.th/

เรื่องย่อภาพยนตร์
https://www.nstda.or.th/sci2pub/brief.html

รายละเอียดงาน (pdf)
https://www.nstda.or.th/sci2pub/download/SFF2016.pdf
*ในไฟล์นี้มีจำนวนศูนย์จัดฉายมากกว่าในแผ่นพับ โทรสอบถามดูก่อนไปนะครับ

 

พาไปดู Siam Serpentarium

20161002-_mg_2812

สัปดาห์ก่อนครอบครัวเราพาเด็กๆ ไปเที่ยวเล่นที่สยาม เซอร์เพนทาเรียม (Siam Serpentarium) กันมาครับ เราไม่เคยรู้จักสถานที่นี้มาก่อนเลย แต่พอดีได้รับคำชวนจากครอบครัวที่สนิทกัน บอกว่าเด็กๆ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว อยากเจอกันและหาความรู้กันที่นี่ เราตอบรับทันทีเพราะน้องภูมิชอบงูและสัตว์เลื้อยคลานมาก และเห็นว่าช่วงนี้คนไทยสามารถเข้าชมได้ฟรีด้วยครับ (ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ.2559) เด็กๆ อยู่เล่นที่นี่กันทั้งวัน เลยอยากเขียนแบ่งปันว่าสถานที่เที่ยวเกี่ยวกับงูแห่งใหม่นี้เป็นอย่างไรบ้าง

สยาม เซอร์เพนทาเรียม (Siam Serpentarium) ตั้งอยู่แถวลาดกระบังครับ ถ้าขับรถไป ใช้ทางมอเตอร์เวย์จะสะดวกมาก สามารถเห็นอาคารได้จากมอเตอร์เวย์เลย ไม่ต้องกลัวหลง และที่จอดรถสะดวกสบาย (ดูแผนที่จาก Google Map ได้ที่นี่ครับ)

การเข้าชมที่นี่จะเป็นการเดินชมด้วยกันเป็นกลุ่ม โดยมีเจ้าหน้าที่อธิบายข้อมูลในแต่ละจุดให้ฟัง (มีการนำชมทุกๆ 15 นาที) หลังจากเดินเข้าประตูไปแล้ว ด้านในจะแบ่งออกเป็น 4 โซนใหญ่ๆ ครับ

โซนที่ 1 เป็นโซนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงู การออกแบบสถานที่มีลูกเล่นน่าสนใจ และมีการสร้างเรื่องราวชวนให้ผู้เข้าชมติดตามครับ

20161002-_mg_2586 

โซนที่ 2 เป็นโซนจัดแสดงงูจริง บรรยากาศดี เดินเพลิน เด็กๆ เดินไล่ดูทุกตู้และสนุกกับการมองหาว่างูแต่ละตู้อยู่ที่ไหน โซนนี้ภูมิชอบมากครับ

20161002-_mg_2661

โซนที่ 3 เป็นโซนการแสดงโชว์งูและการรีดพิษงู จะมีการแสดงปกติตลอดวัน ส่วนการแสดงโชว์พิเศษจะมีทั้งหมด 4 รอบ (11:00, 13:30, 14:30 และ 16:00 น.) ผมไม่ได้ดูโชว์พิเศษนะครับ แต่เห็นคุณพ่อที่มาด้วยกันบอกว่าสวยดีครับ

20161002-_mg_2719

โซนที่ 4 เป็นร้านขายของที่ระลึก ของส่วนใหญ่จะเป็นของที่จัดไว้สำหรับขายนักท่องเที่ยวต่างชาติครับ 

ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่และทราบมาว่าที่นี่เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวจีนมาก่อนหน้านี้นานพอสมควรแล้ว แต่เพิ่งมาเปิดให้คนไทยได้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายนนี้เอง

ประสบการณ์รวมๆ ของการมาที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าแหล่งเรียนรู้ครับ บรรยากาศดูสนุก น่าสนใจ แต่มีรายละเอียดไม่มาก และไม่สามารถใช้เวลาอย่างอิสระเพื่อค่อยๆ เรียนรู้ พูดคุยกันไปได้ (โซนที่ 1) เพราะจะต้องเดินตามเจ้าหน้าที่นำชมไปเป็นรอบๆ ครับ

ที่นี่มีร้านอาหารบริการ ชื่อว่า Snaka Cafe กลุ่มเราได้ลองกันน่าจะทุกเมนู เนื่องจากไปกันหลายครอบครัวครับ อาหารรสชาติดี ราคามิตรภาพ ฝากท้องได้ครับ :)

ตอนนี้เปิดให้คนไทยเข้าชมได้ฟรีถึง 31 ตุลาคม 2559 นะครับ

ค่าเข้าชมปกติ
ผู้ใหญ่ 350 บาท
เด็ก 150 บาท (สูง 90-135 ซ.ม.)

  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและเด็กที่มีความสูงน้อยกว่า 90 ซม. เข้าชมฟรี
  • นักเรียน/นักศึกษา ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – ปริญญาตรี แสดงบัตรนักเรียน/นักศึกษาที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเพื่อรับส่วนลดพิเศษ

(ลิงก์ข้อมูลค่าเข้าชม)

Cast member …ผู้อยู่เบื้องหลังความสุขในดิสนีย์แลนด์

เมื่อภูมิรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวฮ่องกงดิสนีย์แลนด์อีกครั้ง ความตื่นเต้นดีใจที่จะได้สนุกกับเครื่องเล่นต่างๆ ก็ทำให้เขาอยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันเดินทางเร็วๆ ภูมิเริ่มวางแผนว่าจะเล่นเครื่องเล่นอะไรบ้าง จะทำอะไรบ้าง และยังชวนน้องภูริคุยถึงดิสนีย์แลนด์แทบทุกวัน (น้องภูริไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ครับ คราวที่แล้วที่ไปก็เพิ่งจะได้ขวบนิดๆ จำอะไรไม่ได้เลย ^^’) 

แม่เล็กกับผมฟังมากๆ ก็อดขำไม่ได้ แต่ก็ทำให้รู้ว่าเด็กๆ จะสนุกและมีความสุขกับทริปนี้แน่นอน

ปีนี้น้องภูมิอายุ 8 ขวบ เขาเริ่มมีความสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวแบบที่เป็นความสนใจจริงๆ ทำให้ผมคิดว่าถ้าเขาได้รู้จักดิสนีย์แลนด์ในมุมอื่นๆ บ้างก็น่าจะทำให้เขามองเห็นอะไรๆ มากขึ้น และเก็บเกี่ยวอะไรๆ ไปได้มากกว่าความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว

ผมนึกถึงหนังสือที่เคยอ่านเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ชื่อว่า ‘สิ่งที่ดิสนีย์แลนด์สอนฉัน’ ที่เขียนเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงของพนักงานทำความสะอาดรอบดึกคนแรกของโตเกียวดิสนีย์แลนด์ จนกระทั่งเป็นผู้จัดการฝ่ายการศึกษา อบรมพนักงานทั้งหมดดิสนีย์ ยูนิเวอร์ซิตี้

คุณฮิโรชิ คามาตะ (ผู้เขียน) เล่าเรื่องราวการเรียนรู้ของแคสท์*เกี่ยวกับการรับรองที่เกินคาดเพื่อให้เกสท์*ได้รับประสบการณ์ที่ดี และมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเยือนดิสนีย์แลนด์ ผมจำได้ว่าเรื่องเล่าทุกเรื่องในหนังสือทำให้ผมรู้สึกทึ่งในความใส่ใจของแคสท์ที่ดิสนีย์แลนด์จริงๆ จนอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง

*ดิสนีย์แลนด์เรียกพนักงานทุกคน รวมถึงพนักงานพาร์ตไทม์ว่า ‘แคสท์ (Cast)’ และเรียกลูกค้าว่าเกสท์ (Guest)

เราใช้เวลาตามหาหนังสือเล่มนี้นานสักหน่อย เพราะพิมพ์มาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้มา :)

ภูมิกับแม่เล็กใช้เวลาอ่านหนังสือ ‘สิ่งที่ดิสนีย์แลนด์สอนฉัน’ ด้วยกันประมาณสัปดาห์กว่าๆ ภูมิกับแม่สลับกันอ่านให้อีกคนฟัง เพราะบางเรื่องมีความซับซ้อนเกี่ยวกับความคิดและความรู้สึกของตัวละครที่แม่ต้องอธิบายให้ภูมิเข้าใจ

“ภูมิอยากเป็นแคสท์ที่ดิสนีย์แลนด์จังเลยแม่” คือสิ่งที่ภูมิบอกแม่ทันทีหลังจากที่อ่านบทแรกจบ

20160917-_mg_0122

เราไปดิสนีย์แลนด์ภูมิก็จะได้เจอพี่ๆ ที่เป็นแคสท์ตัวจริงนี่นา ทำไมลูกไม่ลองคุยกับพวกเขาดูล่ะ ภูมิมีอะไรที่อยากรู้เกี่ยวกับการเป็นแคสท์ก็ลองเขียนคำถามไว้ก่อน ถ้าไปถึงแล้วมีโอกาสได้คุยกับแคสท์ซักคนเราอาจจะขอสัมภาษณ์เขาสั้นๆ ดีไม๊” แม่เล็กลองเสนอ

ภูมิพยักหน้าเห็นด้วยและดูจะตื่นเต้นที่ได้ยินว่าจะได้คุยกับแคสท์จริงๆ 

ภูมิจดคำถามที่อยากจะถามแคสท์เอาไว้ในสมุดบันทึกของตัวเอง 7 ข้อ และตั้งใจว่าจะหยิบหนังสือ‘สิ่งที่ดิสนีย์แลนด์สอนฉัน’ ไปให้แคสท์ที่ดิสนีย์แลนด์ดูด้วย แต่ผมรู้ว่าเราต้องเดินกันเยอะจึงอยากให้เขามีสัมภาระเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ก็เลยบอกภูมิว่าไม่ต้องเอาไปดีกว่า

ในวันแรกที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เราได้พบกับคุณวิง (Ms. Wing) เจ้าหน้าที่ที่จะดูแลเราในทริปนี้ และผมบอกน้องภูมิว่า ถ้ายังอยากสัมภาษณ์แคสท์ก็ลองบอกคุณวิงดูนะ เผื่อเธอจะแนะนำอะไรได้บ้าง หลังจากภูมิเข้าไปบอก คุณวิงทำหน้าสงสัยว่าทำไมภูมิถึงอยากสัมภาษณ์แคสท์ ภูมิเลยต้องเล่าเรื่องหนังสือที่อ่านมาให้ฟังและหยิบสมุดบันทึกให้คุณวิงดู

คุณวิงยิ้มกว้างและขอถ่ายรูปสมุดบันทึกของภูมิไว้ แต่ก็บอกเพียงว่าจะลองถามให้

เมื่อไปถึงสวนสนุกในช่วงบ่ายคล้อยเย็นวันเดียวกัน เราได้พบกับคุณโจอี้ (Mrs. Joey) ผู้ดูแลงานด้านการตลาดของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เธอขอคุยกับภูมิและขอดูสมุดบันทึก เราได้คุยกันถึงเรื่องหนังสือที่ภูมิอ่านซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ภูมิอยากเป็นแคสท์บ้าง คุณโจอี้ก็ยิ้มให้ภูมิด้วยความเอ็นดู แล้วบอกว่า เธอนึกถึงคนพิเศษคนหนึ่งที่น่าจะตอบคำถามภูมิได้ดีที่สุดเลย ซึ่งเป็นเพื่อนของเธอเอง เธอจะลองติดต่อให้และจะบอกอีกทีว่าสามารถนัดให้ได้มั๊ย …ภูมิดูไม่ตื่นเต้นอะไร เพราะตอนนี้ใจไปอยู่ที่เครื่องเล่นแล้ว :)

20160920-_mg_0473

ก่อนนอนคืนนั้นเราได้รับข้อความจากลุงเด้งว่า คุณโจอี้นัดคุณอาเธอร์ เลา (Mr.Arthu Lau) อดีต Hong Kong Disneyland Ambassador เมื่อปี 2013-2014 ไว้ให้แล้ว แถมแนบลิงก์ประวัติของคุณอาเธอร์มาให้ได้ชื่นชมล่วงหน้า พร้อมกับข้อความจากคุณโจอี้ที่ทิ้งท้ายไว้ว่า “คุณอาเธอร์มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่องอยากจะเล่าภูมิให้ฟัง”

เวลานั้นน้องภูมิหลับปุ๋ยไปแล้ว ปล่อยให้แม่กับพ่อตื่นเต้นกันอยู่สองคน :)

เราบอกน้องภูมิเกี่ยวกับคุณอาเธอร์ในตอนเช้า และเปิดประวัติการทำงานของคุณอาเธอร์ให้ภูมิอ่านแบบออกเสียงเพื่อแม่กับพ่อจะได้ฟังด้วย :D มีหลายตอนในบทความที่ทำให้พวกเราตื่นเต้นและเห็นด้วยกับคุณโจอี้ที่ว่า เขาเป็นคนที่น่าจะตอบคำถามของภูมิได้ดีที่สุด และบ่ายวันนี้ เราจะได้พบกับคุณอาเธอร์ตัวจริง

20160921-_mg_0668

เมื่อถึงเวลานัดหมาย คุณอาเธอร์ยืนรอน้องภูมิด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแม้ว่าอากาศวันนั้นจะค่อนข้างร้อนมาก และก้มตัวทักทายน้องภูมิด้วยการจับมือและแปะมือ high five อย่างเป็นกันเอง

20160921-_mg_1066

หลังจากทักทายทำความรู้จักกัน เราก็เดินไปหาที่นั่งบริเวณนั้นเพื่อให้ภูมิได้พูดคุยกับคุณอาเธอร์อย่างที่ตั้งใจ

คุณอาเธอร์เป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มที่จริงใจ แววตาสดใส สุภาพ และดูมีความสุข ท่าทางการพูดคุยอย่างให้เกียรติของคุณอาเธอร์ทำให้เรารู้สึกเป็นคนพิเศษ และน้องภูมิก็คงรู้สึกเหมือนกัน เพราะเห็นภูมิตั้งใจฟังคุณอาเธอร์ตลอดเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่คุยกัน

20160921-_mg_1157

สิ่งที่คุณอาเธอร์บอกและเล่าให้ภูมิฟังทำให้เราสัมผัสได้ถึงทัศนคติที่ดีในการทำงาน ความสุขจากการให้ ความเอาใจใส่ในรายละเอียด และการเป็นส่วนหนึ่งของความสุขของผู้อื่นในทุกๆ วัน — รวมๆ แล้วคงจะเรียกได้ว่าเราได้สัมผัสหัวใจของการบริการที่ดิสนีย์แลนด์ผ่านคุณอาเธอร์ก็ว่าได้

หลายอย่างที่คุณอาเธอร์บอกกับภูมิก็สัมผัสหัวใจผู้ใหญ่อย่างเราเหมือนกัน ถ้าฟังเผินๆ เหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่เราได้รับจากการมาดิสนีย์แลนด์แล้ว รู้สึกได้ว่าคำพูดง่ายๆ แบบนี้นี่แหละ ที่เป็นเบื้องหลังความสุขของทุกคนที่ก้าวเข้ามาที่ดิสนีย์แลนด์

อย่างเช่นคำตอบที่ได้รับจากคำถามนี้ “รู้สึกอย่างไรที่ได้ทำงานเป็นแคสท์ของที่นี่”

คุณอาเธอร์ตอบไว้(ประมาณ)ว่า “รู้สึกตื่นเต้น เพราะงานที่ดิสนีย์แลนด์คืองานในฝันสำหรับทุกคน เราได้ทำงานในบริษัทที่สร้างความสุขทุกวัน ที่ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับลูกค้าเท่านั้น แต่เราสร้างความสุขให้กับเพื่อนร่วมงานด้วย มันเป็นความสนุกของผมที่ได้ทำอย่างนี้

…การทำงานที่นี่ คือการทำให้คนอื่นมีความสุข สร้างรอยยิ้ม และนั่นทำให้ผมมีความสุขไปด้วย”

และอีกหลายประโยคที่ได้ฟังแล้วอยากเขียนแบ่งปัน :)

“จริงๆ การทำงานที่ดิสนีย์แลนด์นั้นไม่ใช่งานโดยตรง แต่เป็นบทบาท เป็นภารกิจ ที่ช่วยให้คนอื่นมีความสุข ช่วยให้ฝันของคนอื่นเป็นจริง และเราก็จะมีความสุข”

“เมื่อเราทำให้ใครสักคนมีความสุข เขาก็จะมีแรงบันดาลใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขไปด้วย”

20160921-_mg_1074

ในวัย 8 ขวบของภูมิ เขาอาจจะเข้าใจเรื่องราวที่ได้ฟังจากคุณอาเธอร์ไม่เหมือนกับที่ผู้ใหญ่อย่างเราเข้าใจ แต่เชื่อแน่ว่า ภูมิมีความสุขที่ได้พูดคุยและได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้น …เป็นความสุขที่ได้สัมผัสถึงความสุขของคนที่ให้ความสุขกับคนรอบตัว

หลังสัมภาษณ์เสร็จ เราถามภูมิว่ารู้สึกยังไงบ้าง

“มีความสุขครับ”

20161004-_mg_2926

*** อ่านบล๊อกแล้วตามไปเจอกันได้บ่อยๆ ได้ที่ Facebook.com/bhoomplay นะครับ ***

ห้องนักบินจริงๆ เป็นอย่างนี้นี่เอง

20160922-_dsc7918

น้องภูมิเป็นเด็กที่ชอบเรื่องเกี่ยวกับอวกาศ วิทยาศาสตร์และหุ่นยนต์กลไก ทุกอย่างที่ดูซับซ้อน ไฮเทค และมีกลไกจะดึงดูดน้องภูมิได้เสมอ หลายครั้งที่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องเครื่องบิน น้องภูมิจะบอกอยู่เสมอๆ ว่าอยากเห็นห้องนักบินจริงๆ เล็กก็บอกเขาไปว่าคราวหน้าถ้าเราเดินทางด้วยเครื่องบินก็ลองขอแอร์โฮสเตสดูสิ ถ้าเป็นเด็กๆ ขอ และเขาไม่ติดปัญหาอะไรในการปฏิบัติงาน บางทีเขาก็พาไปดูนะ

ทริปนี้น้องภูมิเลยตั้งใจว่าจะลองขอดู :)

ในเที่ยวบินขาไปเมื่อเครื่องลงจอดแล้ว น้องภูมิก็เดินไปถามถามแอร์โอสเตสว่า “Can I see the cockpit?” แต่ได้รับการปฎิเสธเนื่องจากเที่ยวบินขาไปตอนที่เครื่องลงจอดมีปัญหาขลุกขลักเล็กน้อยเกี่ยวกับการปิดเครื่องยนต์บางส่วน (กัปตันอธิบายแล้วแต่เล็กฟังไม่ค่อยเข้าใจ ^^’) ทำให้ผู้โดยสารจะต้องรออยู่บนเครื่องจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เล็กบอกลูกว่าไม่เป็นไร เขากำลังแก้ไขปัญหากันอยู่ ตอนนี้คงไม่เหมาะ ยังไงขากลับลองดูใหม่นะ

เที่ยวบินขากลับการเดินทางราบรื่นดี เมื่อเครื่องลงจอดสนิทที่สนามบินแล้ว น้องภูมิลองเดินไปถามพี่แอร์โอสเตสอีกครั้ง ตอนแรกเธอยิ้มให้น้องภูมิพร้อมกับส่ายหน้า น้องภูมิก็ยิ้มตอบจ๋อยๆ แล้วก็เดินคอตกกลับมาเก็บของตัวเอง ซักพักพี่แอร์โฮสเตสคนเดิมก็มากระซิบกับภูมิว่า “I’ll ask captain for you, but you have to wait until all the passengers got off the plane.” น้องภูมิหันมามองหน้าแม่กับป๊าเป็นเชิงถามว่า แม่กับป๊ารอได้ไม๊

แน่นอนค่ะว่า เรารอได้ :D

พอผู้โดยสารทุกคนในชั้น Business Class ออกจากเครื่องหมดแล้ว พี่แอร์โฮสเตสคนเดิมก็มาเรียกน้องภูมิแล้วพาไปที่ห้องนักบิน กัปตันและนักบินร่วมยังอยู่ในห้อง ทั้งสองคนหันมาทักทายพวกเราอย่างยิ้มแย้ม กัปตันน่ารักและใจดีมากค่ะ กัปตันอุ้มภูริไปนั่งตักและให้เวลาคุยกับน้องภูมิอย่างเป็นกันเอง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่พวกเขาก็ได้ส่งมอบแรงบันดาลใจให้เด็กคนหนึ่งอย่างมากมายจริงๆ คุยกันไปได้แป๊บนึง เล็กก็อุ้มภูริออกไปรอที่ทางเดินเข้า Gate เนื่องจากห้องนักบินค่อนข้างเล็ก ^^

ก่อนกลับออกมาน้องภูมิถามชื่อของกัปตันเพื่อจะเก็บไว้เขียนลงสมุดบันทึก กัปตันหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วเขียนชื่อเขาลงไป พร้อมบอกว่ากระดาษนี้เป็นกระดาษบันทึกข้อมูลสภาพอากาศของเที่ยวบินนี้ เพราะฉะนั้นด้านหลังจะมีวันที่พร้อมรายละเอียดของเที่ยวบินนี้ทั้งหมด ภูมิจะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก :D

20161003-screen-shot-2016-10-03-at-10-57-00

น้องภูมิกับปาป๊าเป็นผู้โดยสารสองคนสุดท้ายที่ออกจากเครื่อง ภูมิเดินออกมายิ้มหน้าบาน ท่าทางสดชื่นไม่เหมือนกับเพิ่งลงจากเครื่องขากลับ (ปกติจะหมดแรงและไม่ลั้ลลามาก เพราะรู้ว่าสิ้นสุดการเที่ยวละ) น้องภูมิเล่าให้เล็กฟังอย่างตื่นเต้นว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่เข้าไป และได้คุยอะไรบ้างกับกัปตัน ขอบคุณพี่แอร์โฮสเตสที่น่ารัก และกัปตันของสายการบิน Hong Kong Airlines ที่มอบประสบการณ์และความทรงจำดีๆ ให้กับครอบครัวของเรา …ขอบคุณพระเจ้า :)

20161003-_dsc8225

////

เรื่องขำๆ ที่ภูมิคุยกับเล็กระหว่างเดินไปที่สายพานรับกระเป๋า

ภูมิ : แม่รู้ไม๊ กัปตันเป็นชาวเซอร์เบีย เขาถามภูมิด้วยว่ารู้จักนักเทนนิสที่เป็นชาวเซอร์เบียไม๊ ที่เป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลกอ่ะ

แม่ : แล้วภูมิตอบได้ไม๊

ภูมิ : ได้สิแม่ Novak Djokovic ไง

..แม่ขำก๊าก (ภูมิรู้จักนักเทนนิสอยู่คนเดียวนี่หล่ะ ถ้ากัปตันมาจากประเทศอื่นแล้วถามคำถามนี้คงใบ้กิน ฮ่าๆๆๆ)

////

โพสหน้าคุณก๊อกจะมาเล่าเรื่องน่าประทับใจอีกเรื่องหนึ่งในทริปนี้ค่ะ เรื่องเกินคาดฝันที่ทำให้ภูมิได้เรียนรู้มากกว่าที่ตั้งใจไว้ก่อนเดินทาง

*** อ่านบล๊อกแล้วตามไปเจอกันได้บ่อยๆ ได้ที่ Facebook.com/bhoomplay นะคะ ***